
ภาพขณะ "ถ่ายทำรายการโทรทัศน์" พ.ศ. 2545
จากเซลล์น้ำมันเครื่องรถยนต์สู่เจ้าของธุรกิจไอศกรีม นาย กิตติ กิตติภิญโญ ด้วยการเป็นเซลล์น้ำมันเครื่องรถยนต์ทำให้ต้องใช้เวลาไปกับการเดินทางออกต่างจังหวัดอยู่เสมอเพื่อสร้างยอดขาย แต่ด้วยความต้องการที่จะใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้นจึงเริ่มมองหาธุรกิจที่น่าสนใจ ในยุคนั้นแบรนด์ไอศกรีมในประเทศไทยมีไม่มากนักเลยตัดสินใจศึกษาการทำไอศกรีม พร้อมกับ นาง ลัดดา กิตติภิญโญ (ภรรยา) เมื่อมีพื้นฐานการทำไอศกรีมแล้วจึงเริ่มคิดสูตรไอศกรีมเป็นของตัวเอง ตัดสินใจทำไอศกรีมกะทิสดเป็นรสแรก ประเทศไทยส่วนใหญ่ไอศกรีมกะทิจะเป็นรูปแบบของไอศกรีมกะทิล้วนไม่มีเครื่องและนำมาเติมเครื่องราดหน้าทีหลัง เพื่อสร้างความแตกต่างจึงเริ่มคิดสูตร “ไอศกรีมกะทิสด-รวมมิตร”ของตนเอง ด้วยการลองผิดลองถูกจนนับครั้งไม่ถ้วนโดยยึดหลักการทำขนมหวานแบบไทยโบราณที่มีความพิถีพิถันและใส่ใจในทุกขั้นตอน
เนื้อไอศกรีมที่มีความ หอม หวาน มัน ด้วยมะพร้าวจากแหล่งคุณภาพดีเลิศ “มะพร้าวเกาะสมุย” ขนาดและอายุของมะพร้าวคัดขนาดพอเหมาะไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป การคั้นกะทิจะใช้เวลา ในการกะเทาะและขูดให้น้อยที่สุดเพื่อจะได้มะพร้าว ขูด สดๆ คั้นเป็นหัวกะทิสดธรรมชาติ ด้วยเครื่องมือที่สะอาด และ ส่วนผสมที่คัดสรรเป็นอย่างดี ทั้ง ขนุนพันธุ์ทองประเสริฐ เนื้อขนุนหอมสดชื่น โดยนำมาแกะสดๆ ผสมในไอศกรีมกะทิสดแท้ทันที ข้าวโพดคัดเลือกจากพันธ์ ”ข้าวโพดหวานตโนต” แท้ เท่านั้น เพราะมีความหวานนุ่มไม่แข็ง ลอดช่องสั่งผลิตพิเศษ หอมใบเตยจากการนำใบเตยแท้มาบดและคั้นให้ได้น้ำใบเตยเพื่อผลิตมาเป็นลอดช่อง เม็ดแมงลักเพื่อสุขภาพ ทำให้ “ไอศกรีมกะทิสด-รวมมิตร” ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพื่อให้ลูกค้าได้รับความหลากหลายจึงเริ่มมองหาไอศกรีมรสถัดไป แต่การคิดไอศกรีมรสชาติใหม่มีทั้งเรื่องที่ยากและง่าย ด้วยการที่มีสูตรเนื้อไอศกรีมกะทิสด จึงตัดสินใจทำ “ไอศกรีมกะทิสด-เผือก” เป็นหนึ่งในไอศกรีมที่ทำยากที่สุดเพราะตัวเนื้อเผือกมีความเป็นแป้งสูงทำให้ต้องทดลองสูตรหลายครั้งเพื่อหาสัดส่วนที่เนื้อไอศกรีมจะไม่เปลี่ยนแปลง ไอศกรีมที่ปั่นออกมาแล้วไม่ได้ตามต้องการจะถูกเททิ้งทั้งหมดทันทีจนได้สูตรที่ลงตัว ด้วยเนื้อเผือกซุยๆที่นำมาบดผสมลงไปในเนื้อไอศกรีม และ เนื้อเผือกหั่นเต๋าคลุกกับเนื้อไอศกรีม จนได้เป็น “ไอศกรีมกะทิสด-เผือก”
ด้วยความที่เป็นแบรนด์ใหม่และยังไม่มีคนรู้จัก จึงต้องค่อยๆสร้างฐานลูกค้าและลุยด้วยตนเอง ในช่วงนั้นต้องตื่นตีสองไปเลือกซื้อมะพร้าวที่ตลาดก่อนกลับแวะไปตั้งโต๊ะที่ตลาดหลังการเคหะฯ คลองจั่น และกลับมาปั่นไอศกรีมใส่ถัง ใส่รถไปขาย ตอนสิบโมง ขายเสร็จบ่ายโมง ขายอยู่นานจนมีคนแนะนำให้ไปขายที่หน้าช่อง9 ตอนนั้นตลาดนัดที่หน้าช่อง9กำลังบูมทำให้มีฐานลูกค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ได้รู้จักกับร้านไก่ย่างที่มาขายเช่นกัน เจ้าของร้านไก่ย่างได้นำไอศกรีม กชามาส ไปลงขายที่ร้านอยู่หลังเดอะมอลล์รามคำแหง เป็นร้านที่ผู้บริการของเดอะมอลล์ทานเป็นประจำ เมื่อได้ทานไอศกรีม กชามาส รสชาติได้ถูกปากของผู้บริการเดอะมอลล์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านต้องการนำไอศกรีมกชามาสไปขายบนห้างเดอะมอลล์ ในช่วงนั้นก็ยังออกบูธเพื่อสร้างฐานลูกค้าอย่างต่อเนื้องทำให้มีผู้จัดงานได้ต่อเข้ามาเพื่อให้ไปตั้งบูธที่ เมืองทองธานี ศูนย์สิริกิต ไบเทค ทั้งแจกนามบัตร แจกใบปลิว และ มีให้ชิมไอศกรีมโคนจิ๋วด้วยความมั่นใจที่ว่า “ขอให้ได้ลองแค่คำเดียว” ด้วยความพิถีพิถันและการเอาใจใส่ในรสชาติและคุณภาพของไอศกรีม ทำให้คนที่ได้ทานในวันนั้น ยังคงเลือกทานไอศกรีม กชามาส จนถึงทุกวันนี้
เพื่อตอบสนองความต้องการ จึงเริ่มทดลองสูตรไอศกรีมใหม่อีกครั้ง ในครั้งนี้ เป็นไอศกรีมนม “ไอศกรีมวนิลา” “ไอศกรีมช็อคโกแลต” และ “ไอศกรีมรัมเรซิ่น” ทั้ง 3 รสได้รับความนิยมจากลูกค้ากชามาสเป็นอย่างมาก แต่ด้วยปัญหาด้านวัตถุดิบทำให้ไม่สามารถทำไอศกรีมรัมเรซิ่นได้จึงเปลี่ยนเป็น “ไอศกรีมสตรอเบอรี่เรซิ่น” ที่ได้รับความนิยมของผู้ที่ชื่นชอบสตรอเบอรี่ในทุกวันนี้

การออกบูธสามารถสร้างฐานลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง จึงมองหาวิธีทางการตลาดใหม่ๆเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า ในยุคนั้นคนจะนิยมหาข้อมูลจากสมุดหน้าเหลืองเล่มหนา ใช่แล้วสมุดหน้าเหลืองเล่มนั้นคือ “Yellow pages” กชามาส ได้ลงข้อมูล ช่องทางการติดต่อและทำการโฆษณาผ่าน “Yellow pages” กชามาส ได้ไปสะดุดตาเก็บผู้จัดรายการ “สู้แล้วรวย” จึงได้เชิญไปออกรายการดังกล่าว หลังจากรายการได้ออกอากาศได้มีคนสนใจโทรเข้ามาเป็นจำนวนล้นหลามตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ในช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองของกชามาสก็ว่าได้
เพื่อตอบสนองลูกค้าที่มากขึ้นจึงได้ออกไอศกรีม รสชาติใหม่อีก 2 รส ได้แก่ “ไอศกรีมม็อคค่าชิพ” และ “ไอศกรีมช็อคโกแลตชิพ” ในขณะเดียวกัน กชามาส ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ไอศกรีมสัญชาติไทย จึงมีการบุกตลาดอย่างหนักทั้งการออกบูธ ลงหนังสือพิมพ์ การออกรายการต่างๆ แต่ทุกอย่างได้หยุดชะงักลงเมื่อ เจ้าของธุรกิจ นาย กิตติ กิตติภิญโญ ได้ตรวจพบ มะเร็งไตระยะแรก ในปี 2549 เรียกว่าเป็นการสะดุดครั้งใหญ่ ลูกทั้งสองยังอยู่เพียงชั้นมัธยม การก้าวสู้แบรนด์ไอศกรีมสัญชาติไทยอันดับ 1 ได้หยุดลง นาย กิตติ กิตติภิญโญ ต้องเก็บตัวรักษา มะเร็งเป็นเวลายาวนาน มีภรรยา นาง ลัดดา กิตติภิญโญ คอยช่วยเหลือดูแลใกล้ชิดทั้งเรื่องของอาหารการกินและธุรกิจไอศกรีม
เมื่อระยะเวลาผ่านไปการเข้าของโลกออนไลน์ได้มีบทบาทมากขึ้นต่อการทำธุรกิจ ในปี 2559 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ลูกสาวคนโต นางสาว กฤตชนา กิตติภิญโญ ได้เข้าขับเคลื่อน กชามาส อีกครั้ง ในขณะนั้น นาย กิตติ กิตติภิญโญ ได้รักษามะเร็งจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง จึงเป็นเวลาที่จะกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง แต่ด้วยการเข้ามาของโลกออนไลน์ผู้คนสามารถหาข้อมูลได้ง่ายและเริ่มธุรกิจได้ง่ายทำให้มีแบรนด์ไอศกรีมเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากทั้งไอศกรีมไทยและไอศกรีมแบบสากล แต่ด้วยความเป็นเอกลักษณ์และการยึดมั่นที่จะไม่ลดคุณภาพไอศกรีมลงจึงสามารถมัดใจลูกค้าเก่าได้อยู่ไม่น้อย

ออกบูท พ.ศ.2545

โรงงานขนาดเล็กจุดเริ่มต้นความสำเร็จ

ออกบูท พ.ศ2545